ขายเมาส์ ขายคีย์บอร์ด ขายหูฟัง ขายเกมส์มิ่งเกียร์ (ติดต่อ Line ID: pairach.aud)

This is default featured slide 1 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

วันอังคารที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2567

"หุน" คืออะไร...???

หุน" คืออะไร...?? 

มีหลายครั้งที่ช่างก่อสร้างเรียกขนาดเหล็ก 
เป็นหน่วยมิลลิเมตร เซนติเมตร และ "หุน" 
เคยสงสัยกันไหมว่าแล้ว หุน คืออะไร 
พื่อให้หายสงสัยวันนี้มีข้อมูลเกี่ยวกับหุนมาฝากทุกท่าน

"หุน" มาจากชื่อมาตรา วัด ตวง ชั่ง ของจีนโบราณ 


ซึ่งหุน คือ หน่วยวัดความยาว หรือความหนาของวัสดุสิ่งของต่างๆ 
โดย 1หุนจะเท่ากับ 1 ใน 8ส่วนของหน่วยนิ้ว 
(1หุน = 1/8" หรือ 1นิ้ว = 8หุน)



การเทียบหน่วยหุน เป็นหน่วยนิ้ว และหน่วยนิ้ว เป็นมิลลิเมตร


ภาพตัวอย่างเหล็กเส้นข้ออ้อยขนาด 4หุน(1/2") หรือ 12มม.


การเทียบหน่วยหุน เป็นหน่วยนิ้ว และหน่วยนิ้ว เป็นมิลลิเมตร





Share:

วันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2566

 

การต่อลงดินของระบบไฟฟ้า มีกี่แบบ

มาตรฐาน IEC 60364-3 ได้แบ่งการต่อลงดินของระบบไฟฟ้าด้วยตัวอักษร 2 ตัว 

อักษรตำแหน่งที่ 1  แสดงความสัมพันธ์ ของระบบจ่ายไฟฟ้า กับการต่อลงดิน ดังนี้              
T  หมายถึง การต่อระบบไฟฟ้า หรือส่วนที่มีไฟ ต่อลงดินโดยตรง
I  หมายถึง การต่อระบบไฟฟ้า หรือส่วนที่มีไฟ แยกจากดินโดยตรง หรือต่อลงดินผ่านตัวความต้านทาน หรือ อิมพีแดนซ์ (Impedance)

อักษรตำแหน่งที่ 2 แสดงความสัมพันธ์ ของตัวนำที่ปกติไม่มีไฟ หรือที่เรียกว่าตัวนำที่เปิดโล่ง เช่น โครงสร้างที่เป็นเหล็กของอุปกรณ์ไฟฟ้า กับการต่อลงดิน ดังนี้

T  หมายถึง การต่อลงดินโดยตรงของโครงสร้างที่เป็นเหล็กของอุปกรณ์ไฟฟ้า และหลักดินแยกต่างหากจากหลักดินของระบบไฟฟ้า 
N  หมายถึง การต่อลงดินของโครงสร้างที่เป็นเหล็กของอุปกรณ์ไฟฟ้า โดยต่อรวมกับหลักดินของระบบไฟฟ้า 




TN-C-S เป็นระบบที่ผสมระหว่าง TN-C และ TN-S เข้าด้วยกัน คือ ระหว่างหม้อแปลงถึงตู้ประธานหลัก สายนิวทรัล และสายดิน จะใช้สายตัวนำเส้นเดียวร่วมกัน
ตั้งแต่ตู้ประธานหลัก สายนิวทรัล และสายดิน จะแยกตัวนำกันตลอดทั้งระบบ แต่จะมีการต่อถึงกันที่ บัสบาร์ นิวทรัล (N) และ กราวด์ (G) ที่ตู้ประธานของระบบ (MDB)
Share:

วันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2566

Windows Utilities

 Change the Windows interface to make your computer more modern, beautiful and fully functional.

It's very easy and free, Doesn't waste your RAM or CPU


Share:

วันจันทร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2566

ปลั๊กไฟของไทย หน้าตาไม่เหมือนชาติใดในโลก

 

รู้ไหม ปลั๊กไฟของไทย หน้าตาไม่เหมือนชาติใดในโลก

ในสมัยโน้นว่ากันว่าโลกยุคโลกาภิวัตน์จะทำให้ทุกอย่างเหมือนกันหมดเป็นมาตรฐานเดียวทั้งโลก ซึ่งมองในบางแง่ก็ไม่จริง เพราะทุกวันนี้ ถึงทั่วโลกจะบริโภคสื่อหน้าตาคล้ายๆ กัน แต่วัฒนธรรมต่างๆ ก็ยังมีความแตกต่างกันในท้องถิ่น เรียกได้ว่าเป็นสิ่งใหม่ที่เข้าไปประสานกับสิ่งเก่า แล้วออกมาไม่ได้มีมาตรฐานเดียว

นี่เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ เพราะทุกที่มี “รากฐาน” ที่ต่างกัน และรากฐานนั้นก็มาจากวัฒนธรรมที่สืบเนื่องมาเป็นร้อยเป็นพันปีไม่รู้กี่ชั่วคน

แต่จริงๆ แล้ว บางสิ่งที่ต่างกันในโลกที่จริงๆ ไม่ได้เก่าแก่อะไรเลย และก็ไม่มีความจำเป็นต้องต่างกันก็ได้ มันก็ยังต่างกัน และวันนี้เราจะมาพูดถึง “ปลั๊กไฟ”

หลายคนอาจไม่รู้ แต่จริงๆ แล้ว โลกนี้มีรูปแบบปลั๊กไฟถึง 15 แบบด้วยกัน

ปลั๊กไฟทั้ง 15 แบบในโลก | IEEE

ถามว่าทำไมต่างกัน บางคนก็จะบอกว่าเป็นเพราะ “ระบบไฟ” ต่างกัน จริงๆ แล้วไม่ใช่ คือปลั๊กกับระบบไฟคนละเรื่อง ระบบไฟแบบ 110 โวลต์ (ระบบแบบทวีปอเมริกา) หรือ 220 โวลต์ (ระบบยุโรป เอเชีย และแอฟริกา) จะมีปลั๊กหน้าตาเหมือนกันก็ได้ แต่มันทำให้ไม่เหมือนกัน และความไม่เหมือนกันนี้เป็นเรื่อง “ความบังเอิญทางประวัติศาสตร์” ล้วนๆ เลย

คือในโลกนี้ มีบางประเทศที่ใช้ปลั๊กหน้าตาไม่เหมือนประเทศไหนในโลก เช่น อิตาลี บราซิล และเดนมาร์ก แต่มันก็ไม่ได้มีเหตุผลใดๆ ในเชิงกายภาพเลยที่ปลั๊กในประเทศเหล่านี้ต้องหน้าตาแบบนี้ และมันใช้แบบนี้ก็เพราะประเทศพวกนี้ “บังเอิญ” ใช้ปลั๊กหน้าตาแบบนี้ในอดีต และก็ใช้ต่อๆ มา ซึ่งก็เข้าใจได้ว่าทำไมไม่เปลี่ยน เพราะถ้าเปลี่ยนนี่ คือต้องเปลี่ยนปลั๊กทั้งประเทศ และอะไรแบบนี้ แค่นึกก็วุ่นวายแล้ว

ปลั๊กแบบอิตาลี 

ต่ถ้าถามว่าแล้วมันมีแพตเทิร์นใหญ่ๆ มั้ย ว่าในโลกนี้มีการใช้ปลั๊กแบบไหนบ้าง?

คำตอบเร็วๆ คือมี ซึ่งขอเรียกง่ายๆ ว่าระบบอเมริกากับระบบยุโรป

ระบบอเมริกา คือปลั๊กหัวแบนๆ ระบบยุโรปปลั๊กจะหัวกลมๆ ซึ่งประเทศส่วนใหญ่ของโลกจะใช้ปลั๊กกันประเทศละ 2 แบบ ก็คือแบบที่ไม่มีสายดิน กับแบบมีสายดิน หรือถ้าจะพูดเป็นรหัสปลั๊ก ประเทศที่ใช้ระบบอเมริกาจะใช้ปลั๊กแบบ A กับ B และพวกระบบยุโรปก็คือจะเป็น C กับ F

แต่ที่มันส์คือ ประเทศอีกจำนวนหนึ่งที่ใช้ทั้งระบบอเมริกาและยุโรปเลย ดังนั้นรูเสียบปลั๊กจะเสียบปลั๊กได้ขั้นต่ำคือ 4 แบบ และหนึ่งในประเทศที่ว่าคือไทย คือมีทั้งแบบ A, B, C และ F

ซึ่งที่มันส์กว่านั้นไปอีก ในไทยมีการใช้ปลั๊กแบบหนึ่งที่ไม่เหมือนที่ไหนในโลกด้วย คือปลั๊กแบบ Type O

ปลั๊กแบบ Type O | Worldstandard

ถามว่าปลั๊กแบบนี้มาได้ยังไง?

คำตอบคือมันเพิ่งเกิดมาตรฐานนี้ตอนปี 2006 ทางการไทยสร้างขึ้นมาเอง เพราะต้องการจะสร้าง “มาตรฐานของตัวเอง” หรือพูดอีกแบบก็คือ ทางการไทยนั้นต้องการจะเลิกใช้ระบบปลั๊กหัวแบนแบบอเมริกัน (คือแบบ A กับ B) แต่ในขณะเดียวกัน จะไปใช้ระบบหัวกลมแบบยุโรปแบบ C กับ F ก็ใช้ไม่ได้ เพราะระบบยุโรป “สายดิน” ไม่ได้อยู่ที่ขาที่ 3 ของปลั๊ก แต่จะอยู่ที่โลหะข้างๆ ปลั๊ก และนี่เลยเป็นเหตุผลว่ารูเสียบปลั๊กแบบยุโรปถึงต้องเป็นรูแบบ “หลุม” ที่เอาไว้เสียบตัวปลั๊กลงไปเลย ไม่ใช่อยู่บนพื้นราบแบบปลั๊กบ้านเรา

ถามว่าปลั๊กแบบนี้มาได้ยังไง?

คำตอบคือมันเพิ่งเกิดมาตรฐานนี้ตอนปี 2006 ทางการไทยสร้างขึ้นมาเอง เพราะต้องการจะสร้าง “มาตรฐานของตัวเอง” หรือพูดอีกแบบก็คือ ทางการไทยนั้นต้องการจะเลิกใช้ระบบปลั๊กหัวแบนแบบอเมริกัน (คือแบบ A กับ B) แต่ในขณะเดียวกัน จะไปใช้ระบบหัวกลมแบบยุโรปแบบ C กับ F ก็ใช้ไม่ได้ เพราะระบบยุโรป “สายดิน” ไม่ได้อยู่ที่ขาที่ 3 ของปลั๊ก แต่จะอยู่ที่โลหะข้างๆ ปลั๊ก และนี่เลยเป็นเหตุผลว่ารูเสียบปลั๊กแบบยุโรปถึงต้องเป็นรูแบบ “หลุม” ที่เอาไว้เสียบตัวปลั๊กลงไปเลย ไม่ใช่อยู่บนพื้นราบแบบปลั๊กบ้านเรา

ปลั๊กแบบยุโรป | Interpower

ทีนี้แม้ว่าปลั๊กแบบยุโรปจะเสียบในไทยได้จริงๆ แต่มันอันตรายมาก ถ้าเป็นปลั๊กแบบที่มีสายดิน เพราะโลหะส่วนที่เป็น “สายดิน” ด้านข้างปลั๊กมันโผล่มาด้านนอกตลอด และถ้าเผลอโดนก็ช็อต

ทั้งหมดนี้ เลยทำให้รัฐบาลไทยพัฒนาปลั๊กรูปแบบใหม่ที่มีสองขากลมๆ แบบยุโรป และเพิ่มขากลมๆ ที่สามมาเพื่อเป็นสายดิน แทนที่จะเป็นโลหะข้างๆ ปลั๊กแบบที่ใช้กันในยุโรป ซึ่งตรงนี้ เราก็จะเห็นได้ว่าตำแหน่งสายดินคือตำแหน่งเดียวกับของปลั๊กแบบ B หรือแบบของอเมริกาที่มีสายดิน

หรือพูดง่ายๆ ปลั๊กแบบ Type O ของไทย มันคือปลั๊กที่เราเอารูเสียบแบบยุโรป มาปนกับระบบสายดินของอเมริกา และออกมาเป็นระบบปลั๊กของเราเอง


แต่ผลจริงๆ ก็คือ แม้ว่ารัฐบาลไทยจะพยายามเปลี่ยนปลั๊กให้เป็นแบบ Type O หมด แต่เครื่องใช้ไฟฟ้าในไทยจำนวนมากก็ใช้ระบบปลั๊กแบบอื่นๆ อยู่และรูเสียบเราก็จะละทิ้งเครื่องใช้ไฟฟ้าพวกนี้ไม่ได้ และผลของการมีปลั๊ก 5 แบบในประเทศเดียว ก็เลยทำให้รูเสียบปลั๊กของไทย น่าจะมีหน้าตาไม่เหมือนที่ไหนในโลกเลย เพราะต้องเสียบปลั๊กได้ทั้ง 5 แบบ

รูเสียบปลั๊กในไทย

รูเสียบปลั๊กในไทย 

ซึ่งถ้าสงสัยว่ามีที่ไหนที่มีปลั๊กเยอะแบบไทยบ้าง อย่างน้อยๆ คือเลบานอน มี 5 แบบเหมือนกัน (A, B, C, D และ G)

และจริงๆ ในโลกนี้มีแค่ประเทศเดียวที่รูปแบบปลั๊กเยอะกว่าไทย ซึ่งก็คือมัลดีฟส์ (C, D, G, J, K และ L)

โดยทั้งสองประเทศนี้ รูปเสียบปลั๊กเขาก็ไม่ได้หน้าตาเหมือนเราอยู่ดี




Share:

วันอังคารที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2566

หัวชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า มีกี่แบบ กี่ประเภท ? และชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าด้วยไฟ AC และ DC ต่างกันอย่างไร ?

 

หัวชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า มีกี่แบบ กี่ประเภท ?
และชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าด้วยไฟ AC และ DC ต่างกันอย่างไร ?

ปัจจัยหนึ่งที่คุณควรทราบไว้ก่อนเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ที่นอกเหนือจากมีเรื่องของค่าใช้จ่าย, การดูแลรักษา และการรองรับสถานีชาร์จที่เพียงพอ สิ่งหนึ่งก็คือเรื่อง ประเภทของหัวชาร์จ

ปัจจุบัน ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแต่ละเจ้า มีการใช้หัวชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแตกต่างกันไป ยกตัวอย่าง Tesla ก็ใช้เป็นหัวชาร์จที่ออกแบบเอง ชื่อ "SuperCharger" เพื่อใช้กับรถยนต์ Tesla อยู่ หากเทียบกับสินค้าประเภท แกดเจ็ต (Gadget) ต่าง ๆ มันก็เหมือนการใช้หัวชาร์จที่ต่างกันไป เช่น USB-C, USB-A, Micro USB หรือ Lightning นั่นเอง

โดยบทความนี้เราจะมาทำความรู้จักกับหัวชาร์จแต่ละประเภทของรถยนต์พลังงานไฟฟ้ากัน ว่ามันมีกี่แบบ และคุณควรใช้อย่างไรให้ไม่ผิดประเภท

    การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ไฟแบบ AC และ DC
    (AC and DC Charging Types on EV Car)

    ก่อนทำความรู้จักกับประเภทของหัวชาร์จ เรามารู้จักกับระบบชาร์จไฟผ่านกระแสไฟฟ้า 2 ประเภทหลัก ๆ กันก่อน นั่นคือ การชาร์จผ่าน ไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) และ ไฟฟ้ากระแสตรง (DC) ซึ่งในรถ EV ทั่วไป จะมีการให้หัวชาร์จมา 2 ประเภท เรามาศึกษาข้อแตกต่างและความเหมาะสมในการใช้งานกัน

    ความแตกต่างระหว่างการชาร์จแบบ AC และ DC

    การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าด้วยพลังงาน AC และ DC  (AC and DC types on EV Charger)

    การชาร์จแบบ AC นั้นเรียกกันว่า Normal Charge มีข้อดีเรื่องของค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่า แต่ก็สามารถชาร์จได้ค่อนข้างช้าเนื่องจากการรองรับกำลังไฟที่จำกัด เพราะกระแสมีการไหลผ่านหม้อแปลงที่เรียกว่า "Onboard Charger" เป็นอุปกรณ์ที่ใช้เปลี่ยนกำลังไฟจาก AC ให้เป็นพลังงาน DC เข้าสู่แบตเตอรี่ของรถ โดยขนาดของ "Onboard Charger" จะต่างไปตามรุ่นของรถ และค่อนข้างมีผลกระทบต่อความเร็วในการชาร์จด้วย รวมถึงยังมีปัจจัยด้านประสิทธิภาพของเครื่องจ่ายไฟ หรือหัวชาร์จแต่ละประเภท ทำให้การชาร์จผ่าน AC นั้นอาจมีกำลังไฟที่รองรับได้เพียงแค่ 3 - 43 kWH 

    สำหรับการชาร์จแบบ DC เรียกว่า Quick Charger มีข้อดีคือ สามารถชาร์จไฟได้อย่างรวดเร็ว รองรับกำลังไฟได้มากกว่า เนื่องจากเป็นการจ่ายไฟตรง ๆ ไปที่แบตเตอรี่ของตัวรถ ในทั่ว ๆ ไปแล้วกำลังไฟของระบบ DC ที่รองรับ นั้นสามารถอยู่ที่ 25 ถึง 350 kW เลยทีเดียวขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของระบบไฟฟ้าในรถและเครื่องชาร์จ เแต่ข้อเสียก็คือมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า AC

    ถ้าเปรียบเทียบกับรถยนต์ไฟฟ้าที่มีขนาดแบตเตอรี่ 72 kW ถ้าชาร์จแบบ AC ที่มีกำลังไฟรองรับ 7 kW คุณอาจต้องใช้เวลาถึง 10 ชั่วโมง ในขณะที่พอเป็นแบบ DC มีกำลังไฟรองรับ 50 kW อาจใช้เวลาเพียงแค่ 1 ชั่วโมงกว่าเท่านั้น ในการชาร์จให้เต็ม

    การเลือกใช้ให้เหมาะสม

    การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าด้วยพลังงาน AC และ DC  (AC and DC types on EV Charger)

    เนื่องจาก AC ชาร์จไฟได้ช้ากว่าจึงนิยมใช้ติดตั้งที่บ้าน ออฟฟิศทำงาน หรือ ที่สาธารณะอย่างห้างสรรพสินค้า ที่คุณสามารถ มีเวลาทำธุระ หรือ รอการชาร์จไฟได้ นอกจากนี้ตามสถานีชาร์จสาธารณะทั่วไปก็มีระบบการชาร์จแบบ AC ให้เหมือนกันซึ่งความเร็วจะมากกว่า เครื่องชาร์จแบบติดตั้งในบ้าน

    ส่วนการชาร์จแบบ DC มักนิยมติดตั้งตาม สถานีชาร์จสาธารณะทั่วไป เช่น ปั้มน้ำมัน หรือ จุดพักรถบนทางด่วน เพราะไม่ต้องใช้เวลามากนั่นเอง ให้เจ้าของรถแวะพักชาร์จไฟ ไม่ถึง 30 นาทีก็เดินทางต่อได้แล้ว

    หากถามว่า แท่นชาร์จแบบ DC สามารถติดตั้งภายในบ้านได้ไหม คำตอบคือ "ไม่ได้" เหตุผลคือ เนื่องจากระบบไฟฟ้าตามบ้านทั่วไปเป็นระบบไฟแบบ "Single Phase" ที่มีแรงดันแค่ 220 โวลต์ ขณะที่เครื่องชาร์จไฟฟ้าแบบ DC ต้องการระบบไฟฟ้าแบบ "Three Phase" หรือระบบไฟฟ้าสำหรับโรงงาน ทำให้ปัจจุบันไม่มีแท่นชาร์จแบบ DC มาวางขายเป็นทางการ

    แต่บ้านเราสามารถขอไฟเพิ่มเป็น  "Three Phase" ได้ เช่นบ้านที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งในอนาคตไม่แน่ผู้ผลิตอาจมีการพัฒนาแท่นชาร์จแบบ DC มาวางขายให้ใช้ตามบ้านก็เป็นได้

    หัวชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า มีกี่ประเภท ?
    (How many types of EV Car Charing Plugs ?)

    หัวชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ามีกี่ประเภท (Type of EV Charging Plugs)
    ภาพจาก https://www.ovoenergy.com/guides/electric-cars/ev-charging-types

    เรารู้แล้วว่าการชาร์จแบบ AC และ DC ต่างกันอย่างไร ต่อไปดูเรื่องของหัวชาร์จแต่ละประเภทกันบ้าง ในปัจจุบันเราสามารถแยกประเภทหัวชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าหลัก ๆ ได้ 4 ประเภทที่พบได้ทั่วไป ทั้งต่างประเทศและประเทศไทย แบ่งเป็น

    • หัวชาร์จ SAE J1772 (AC Type 1)
    • หัวชาร์จ Mennekes (AC Type 2)
    • หัวชาร์จ CCS (DC Type) 
    • หัวชาร์จ CHAdeMO (DC Type)

    นอกจากนี้ก็ยังมีหัวชาร์จของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่นิยมพบได้จากจีนคือ GB / T รวมถึงหัวชาร์จของ Tesla ซึ่งเราจะมาทำความรู้จักแต่ละตัวกันไปพร้อมกัน

    1. หัวชาร์จ SAE J1772 (AC Type 1)

    หัวชาร์จ SAE J1772 (AC Type 1)
    ภาพจาก https://www.evexpert.eu/eshop1/knowledge-center/connector-types-for-ev-charging-around-the-world

    SAE J1772 หรือเรียกง่าย ๆ ว่า AC Type 1 เป็นหัวชาร์จของระบบ AC ที่ถูกสร้างเป็นมาตรฐานสำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของ อเมริกา ญี่ปุ่น 

    หัวชาร์จประเภทนี้ เป็นหัวชาร์จที่มีลักษณะเป็นหัวต่อแบบ 5 พิน (Pins) รองรับกำลังไฟฟ้าได้สูงสุด 7.2 kW และรองรับแค่ระบบไฟ "Single Phase" จึงนิยมใช้ติดตั้งในบ้านมากกว่า เราอาจจะไม่ค่อยได้เห็นหัวชาร์จประเภทนี้ตามที่สาธารณะ โดยรถยนต์ไฟฟ้ายี่ห้อที่ใช้หัวชาร์จแบบ SAE J1772 ที่เรารู้จัก เช่น Nissan, Toyota และ Mitsubishi เป็นต้น 

    2. หัวชาร์จ Mennekes (AC Type 2)

    หัวชาร์จ Mennekes (AC Type 2)
    ภาพจาก https://www.evexpert.eu/eshop1/knowledge-center/connector-types-for-ev-charging-around-the-world

    Mennekes หรือเรียกว่า AC Type 2 เป็นหัวชาร์จของระบบ AC ที่เป็นมาตรฐานของ ยุโรป มีลักษณะเป็นหัวต่อแบบ 7 พิน (Pins) จ่ายไฟได้เทียบเท่ากับ AC Type 1 แต่เมื่อมีการพัฒนาเครื่องจ่ายไฟ ให้สามารถจ่ายไฟ AC แบบ Three phase ได้ สถานีชาร์จสาธารณะในปัจจุบัน จึงรองรับกำลังไฟเพิ่มได้ถึง 22 kW ในขณะที่เครื่องชาร์จสาธารณะบางแห่งในยุโรปอาจรองรับกำลังไฟได้ถึง 43 kW เลยทีเดียว

    รถยนต์พลังงานไฟฟ้ายี่ห้อที่ใช้หัวชาร์จแบบ Mennekes (AC Type 2) มักจะพบได้ใน Audi, BMW และ Mercedes รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้า BEV (Battery Electric Vehicle) และ รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดปลั๊กอิน (PHEV, Plug-in Hybrid Electric Vehicle) ทั่วไปของฝั่งยุโรป

    3. หัวชาร์จ CCS (DC Type) 

     หัวชาร์จ CCS (DC Type)

     หัวชาร์จ CCS (DC Type)

    ภาพจาก https://www.ovoenergy.com/guides/electric-cars/ev-charging-types

    สำหรับ CCS ย่อมาจาก Combination Charging System ชื่อนี้มีที่มา เพราะหัวต่อมีลักษณะเด่น คือ หน้าตาของหัวชาร์จที่ถูกคอมโบกับหัวชาร์จ AC มีการเพิ่มหัวต่อมาอีก 2 พิน (Pins) ด้านใต้เหมือนในภาพ เพื่อให้รองรับการชาร์จแบบ DC ไปในตัว 

    และเวลาใช้งาน ช่องชาร์จในรถจะมีเต้ารับเพียงอันเดียวที่สามารถชาร์จได้ 2 ประเภท มีกำลังไฟรองรับได้สูงถึง 350kW ส่วนความเร็วจริง ๆ ในการชาร์จจะขึ้นอยู่กับความสามารถของรถและกำลังไฟเครื่องชาร์จ (ตู้ชาร์จในประเทศไทย ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 50 - 120 kW) 

    หัวชาร์จแบบ CCS ยังสามารถแบ่งได้เป็น 2 Type คือ

    • CCS1 (Type 1) เป็นมาตรฐานของอเมริกาและเป็นหัวชาร์จที่คอมโบกับ AC Type 1
    • CCS2 (Type 2) เป็นมาตรฐานของฝั่งยุโรปและเป็นหัวชาร์จที่คอมโบกับ AC Type 2

    หัวชาร์จ CCS2 มีการรองรับกำลังไฟที่มากกว่า และได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในภายหลัง พบได้ในรถยี่ห้อ Audi, BMW, Hyundai, Jaguar, Mercedes-Benz และ MG เป็นต้น ในขณะที่ CCS1 เหมือนจะหายไปเนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้มาตรฐานหัวชาร์จแบบ AC Type 1 ส่วนมากจะมีการใช้ "หัวชาร์จ CHAdeMO" สำหรับการชาร์จแบบ DC แทน CCS1 

    หัวชาร์จ CCS (DC Type)
    Socket ชาร์จไฟของรถยนต์ไฟฟ้า Audi e-tron / ภาพจาก https://www.audi-mediacenter.com/en/audi-technology-lexicon-7180/charging-technologies-10999

    4. หัวชาร์จ CHAdeMO (DC Type)

    หัวชาร์จ CHAdeMO (DC Type)
    ภาพจาก https://www.evexpert.eu/eshop1/knowledge-center/connector-types-for-ev-charging-around-the-world

    CHAdeMO ย่อมาจากคำว่า Charge de Move แปลว่า "ชาร์จแล้วขับต่อไป" พัฒนาขึ้นเป็นมาตรฐานหัวชาร์จ DC ของฝั่งญี่ปุ่น ที่รองรับกำลังไฟได้สูงถึง 400 kW ในรุ่น 2 ที่ปล่อยออกมาล่าสุด และในอนาคตมีเป้าหมายจะทำงานร่วมกับมาตรฐาน GB / T เพื่อทำให้รองรับถึง 900 kW เลยทีเดียว 

    หัวชาร์จ CHAdeMO มักพบได้ในรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ยี่ห้อ Honda, Mazda, Nissan, Mitsubishi, Toyota เป็นต้น และอย่างที่บอกไว้รุ่นที่ใช้หัวชาร์จ CHAdeMO มักจะมาพร้อมกับช่อง AC Type 1 ดังนั้นรถยนต์ไฟฟ้ายี่ห้อเหล่านี้ ก็จะมีช่องชาร์จมาให้ 2 ช่องคู่กัน

    หัวชาร์จ CHAdeMO (DC Type)
    Socket ชาร์จไฟของรถยนต์ไฟฟ้า NISSAN LEAF / ภาพจาก https://www.nissan.co.th/vehicles/new-vehicles/leaf

    5. หัวชาร์จ GB / T (AC และ DC Type)

    หัวชาร์จแบบ GB / T เป็นมาตรฐานเดียวของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศจีน พัฒนาโดยกลุ่ม Guobiao Standardization Commission ที่กำกับดูแลโดย Standardization Administration of China หรือ คณะกรรมการบริหารจัดการมาตรฐานแห่งชาติจีน 

    หัวชาร์จ GB / T (AC และ DC Type)
    AC Type
    ภาพจาก https://www.evexpert.eu/eshop1/knowledge-center/connector-types-for-ev-charging-around-the-world

    ปัจจุบันมาตรฐานหัวชาร์จ GB / T ถูกใช้เป็นทั้งหัวชาร์จแบบ AC และ DC ลักษณะของหัวชาร์จ AC จะมีความคล้ายกับ AC Type 2 แต่ภายในใช้ระบบไม่เหมือนกัน จึงไม่สามารถใช้แทนกันได้ และหัวชาร์จ AC สามารถรองรับกำลังไฟได้สูงสุด 27 kW 

    หัวชาร์จ GB / T (AC และ DC Type)
    DC Type
    ภาพจาก https://www.evexpert.eu/eshop1/knowledge-center/connector-types-for-ev-charging-around-the-world

    ส่วนหัวชาร์จแบบ GB / T แบบ DC จะมีลักษณะเด่นเป็นของตัวเองและรองรับกำลังไฟได้สูงสุด 250 kW ซึ่งปัจจุบัน GB / T กำลังจับมือร่วมกับ  CHAdeMO เพื่อพัฒนาหัวชาร์จที่สามารถรองรับกำลังไฟได้ถึง 900 kW เหมือนกัน

    6. หัวชาร์จ Tesla

    หัวชาร์จ Tesla
    ภาพจาก https://www.evexpert.eu/eshop1/knowledge-center/connector-types-for-ev-charging-around-the-world

    สำหรับหัวชาร์จของ Tesla มีลักษณะเฉพาะแตกต่างจากหัวชาร์จประเภทอื่น และต้องใช้กับสถานีชาร์จ Supercharger หรือ สถานีจุดบริการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla เท่านั้น

    อย่างไรก็ตามจุดเด่นของ Tesla ก็คือหัวชาร์จของเขาใช้งานได้กับปลั๊กอื่น ๆ ถ้ามีอะแดปเตอร์ และ Tesla จะมีอะไหล่ขายแยกให้บนเว็บไซต์ คุณสามารถหาซื้อเพื่อชาร์จกับหัวชาร์จแบบ CHAdeMO หรือ CCS ได้ถ้าหาสถานี Supercharger เจอได้ยาก

    เลือกประเภท และสมรรถนะที่ใช่สำหรับตัวเอง
    (Choose the right EV Car Charger for you)

    ดูไปแล้วนอกจากสมรรถนะของตัวรถ ไปจนถึงความจุของพลังงานแบตเตอรี่แล้ว ประเภทของหัวชาร์จที่รองรับในรถยนต์ไฟฟ้าแต่ละรุ่น ก็เป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อเหมือนกันนะ

    สมมติว่าคุณมีบ้านที่พร้อมจะติดตั้งระบบชาร์จไฟให้รถ คุณก็ต้องเลือกดูว่ารุ่นไหนมีหัวชาร์จแบบ AC ประเภทไหน หรือถ้าคุณไม่ได้อาศัยอยู่บ้าน แต่เป็นคอนโด ก็ควรเน้นไปที่ระบบชาร์จไฟ DC ไปเลย รวมถึงต้องดูเรื่องของปริมาณหัวชาร์จที่รองรับมากในประเทศด้วย เกิดตั้งใจจะไปชาร์จไฟที่หนึ่งแล้วแต่ดันไม่เจอประเภทที่ต้องการ ก็อาจจะเสียเที่ยวได้


    Share:

    วันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2566

    ขุดเพชรอย่าท้อแท้ ขุดต่อไปเดี๋ยวก็ถึง ... จริงหรอ?

     


    หากใครเล่นเนตมาเป็นเวลานานแล้ว (เชื่อว่าทุกคนป่ะ) ภาพนี้คงเคยผ่านตาทุกคนมาแล้ว ...

    เป็นภาพที่บอกว่า "คุณไม่รู้หรอกว่าคุณอยู่ใกล้ความสำเร็จแค่ไหน ดังนั้นอย่ายอมแพ้ !"

    แต่วันนี้หลังจากผ่านประสบการณ์ชีวิตมามากมาย ก็เลยสามารถหาคำอธิบายภาพนี้แล้วว่ามันผิดอย่างไร ข้อสรุปทุกอย่างมันตอบตัวเองตั้งแต่ประโยคแรกแล้ว


    "คุณไม่รู้หรอกว่าคุณอยู่ใกล้ความสำเร็จแค่ไหน"


    ใช่ครับ คุณไม่รู้ ดังนั้นการตัดสินใจดั้งด้นดื้อรั้นดันทุรังขุดเพชรต่อไป มันไม่ใช่วิธีที่ถูกเลย เพราะภาพนี้มันสปอยล์ว่ามีเพชรอยู่ใกล้มากแล้ว จากสายตาใครก็ไม่รู้ ... ดูแล้วไม่เป็นซุปเปอร์แมนก็พระเจ้าหละ แต่ความจริงสิ่งที่คุณเห็นจากสายตาคนขุดเพชรคือภาพนี้ครับ ...

    คุณมองไม่เห็นอะไรนอกจากเศษดินเศษหินที่อยู่เบื้องหน้า ท่ามกลางความมืดและแสงจากไฟฉายแท่งเล็กๆ การดันทุรังขุดต่อไปมันอาจจะทำผลให้เป็นแบบนี้ก็ได้

    หรือถ้าเลวร้ายกว่าการไม่เจออะไร อาจจะขุดไปจนพบเจอสิ่งที่คุณไม่อยากเจอก็เป็นได้ คำอธิบายของภาพพลิกกลับในทันทีว่า "ใครเลิกขุดก่อน คนนั้นชนะ"


    โจทย์นี้ไม่ใช่ว่าใครเลิกขุดก่อน หรือใครจะขุดเจอเพชรก่อน หากแต่ปัญหาที่แท้จริงของของโจทย์นี้คือ


    "เรามองไม่เห็นหนทางข้างหน้า

    จะทำยังไงให้มองเห็น

    เพื่อจะรู้ว่าขุดต่อดีมั้ย"


    หรือภาษาอังกฤษก็คือคำสั้นๆที่ทุกคนได้ยินกันปีละ 200 ครั้ง ...


    "... Vision ..."


    Vision อันแสนวิเศษ จะทำให้คุณมีสายตาเลเซอร์ สามารถมองเห็นหนทางข้างหน้าถึงแม้จะมีสิ่งกีดขวางบดบัง และมันทำให้คุณบอกได้ว่าหนทางข้างหน้าคุณมีเพชรอยู่หรือไม่ หากเห็นว่ามีเพชรและคุ้มค่าในการขุด จากนั้นค่อยเริ่มดำเนินการขุดต่อจนได้เพชรออกมา จุดนี้การขุดคือคำสั้นๆที่เรียกว่า


    "...Mission..."


    Mission ที่ไร้ Vision คือหายนะ หายนะอย่างไร ภาพด้านบนอธิบายได้ดีที่สุดแล้วครับ ส่วนการมี Vision แต่ไร้ Mission มันก็ไร้ค่าเช่นกัน อย่างที่เคยได้ยินกันบ่อยๆกระมังว่า "Great idea without execution is cheap"


    อย่างไรก็ตาม Vision มันไม่ง่าย มันคือการคาดคะเน ความจริงของ Vision คือ ไม่มีใครรู้ว่า Vision คุณถูกหรือเปล่าจนกระทั่งคุณขุดเจอเพชรแล้ว ไม่ต้องอวดหรอกว่า Vision คุณเท่คุณเจ๋ง ถ้ายังไม่เจอเพชร ก็กลับไปเอาเพชรมาพิสูจน์ให้ได้ก่อน !


    จึงไม่ต้องแปลกใจหากขุดไปได้ระยะหนึ่ง กลับรู้สึกท้อแท้ รู้สึกสิ้นหวัง ทำไมไม่เจอเพชรสักทีนะ เมื่อมาถึงจุดที่คุณเริ่มสงสัยว่าคุณมาถูกทางหรือเปล่า มานั่ง Revision ความคิดตัวเองซะ ว่า Vision ที่คุณมองยังถูกอยู่หรือเปล่า หนทางข้างหน้ายังมีเพชรอยู่หรือเปล่า หรือโดนคนอีกฝั่งที่เห็นหนทางที่สั้นกว่าดีกว่าขุดเพชรเอาไปซะแล้ว จะไปต่อหรือจะเลิก ต้องคอยพิจารณาเป็นระยะๆ ไม่งั้นอาจจะเจ็บตัวหนักก็ได้


    และความจริงในโลกนี้อีกข้อก็คือ เพชรยังมีอยู่อีกเยอะ หาให้เจอว่าอยู่ที่ไหน แล้วขุดซะ คนเริ่มขุดก่อนก็จะเข้าถึงได้ก่อน คนที่ถอยหลังจากเหมืองที่ไม่เหลือเพชรแล้ว เพื่อไปหาเหมืองใหม่ที่ไร้คนขุดได้ก่อน ก็จะได้โอกาสก่อนคนอื่นเขาที่จะประสบความสำเร็จในสิ่งที่หวังไว้


    ทั้งหมดทั้งมวลนี้ อยู่ที่สองคำที่คุณต้อง Declare ให้ชัดเจนตั้งแต่เริ่มโปรเจค

    Vision & Mission


    Share:

    วันจันทร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2566

    ใช้ Diskpart ฟอร์แมตคำสั่ง format fs=ntfs เจอ error ว่า The parameter is incorrect

     ถ้าคุณใช้ Diskpart ในการฟอร์แมตด้วยคำสั่ง format fs=ntfs แล้วเจอปัญหาขึ้น error ว่า The parameter is incorrect บางครั้งจะขึ้น error เมื่อฟอร์แมตสมบูรณ์ 100%



    วันนี้เราจะมาแก้ปัญหานี้ครับ

    สิ่งสำคัญก่อนที่คุณจะใช้ Diskpart เพื่อช่วยในการฟอร์แมต คุณจำเป็นต้อง
    1. ถอดอุปกรณ์พวกแฟลชไดร์ฟตัวอื่นๆ เมมการ์ด ออกจากเครื่องเพื่อป้องการสับสนฟอร์แมตผิด
    2. เวลาเลือกไดร์ฟที่จะฟอร์แมต คุณต้องระมัดระวังให้ดี ว่าใช่ตัวที่จะฟอร์แมตหรือเปล่านะครับ
    3. ทำงานบน Cammond Prompt หรือ cmd คุณต้องเข้าในสถานะ Administrator เท่านั้น

    สำหรับวิธีการแก้ปัญหาให้ทำดังนี้
    วิธีที่ 1

    1. พิมพ์ diskpart และกด Enter
    2. พิมพ์ list disk
    3. select disk X (x คือ แฟลชไดร์ฟหรือการ์ดของคุณที่จะฟอร์แมต ปกติจะเป็นตัวเลข 1, 2, 3,…)
    4. พิมพ์ clean แล้วกด enter
    5. พิมพ์ create partition primary แล้วกด enter
    6. พิมพ์ select partition 1 แล้วกด enter
    7. พิมพ์ format fs=ntfs quick แล้วกด enter
    8. พิมพ์ assign letter=Z แล้วกด enter
    9. พิมพ์ exit แล้วกด enter

      วิธีที่ 2

      1. พิมพ์ diskpart และกด Enter
      2. พิมพ์ list disk
      3. select disk X (x คือ แฟลชไดร์ฟหรือการ์ดของคุณที่จะฟอร์แมต ปกติจะเป็นตัวเลข 1, 2, 3,…)
      4. พิมพ์ clean all แล้วกด enter
      5. พิมพ์ create partition primary แล้วกด enter
      6. พิมพ์ select partition 1 แล้วกด enter
      7. พิมพ์ format fs=ntfs แล้วกด enter
      8. พิมพ์ assign letter=Z แล้วกด enter
      9. พิมพ์ exit แล้วกด enter
        *หมายเหตุ : แตกต่างจาก วิธีที่ 1 คือ Clean all ในขั้นตอนที่ 4 และ ขั้นตอนที่ 7 ไม่มี quick

      วิธีที่ 3

      1. พิมพ์ diskpart และกด Enter
      2. พิมพ์ list disk
      3. select disk X (x คือ แฟลชไดร์ฟหรือการ์ดของคุณที่จะฟอร์แมต ปกติจะเป็นตัวเลข 1, 2, 3,…
      4. พิมพ์ detail disk
      5. select volume X ( X คือหมายเลข volumn เช่น 1,2,3…)
      6. delete volume
      7. เลือก volume แต่ละอันแล้ว delete ให้ครบทีละอัน
      8. select disk x (x คือ แฟลชไดร์ฟหรือการ์ดของคุณที่จะฟอร์แมต ปกติจะเป็นตัวเลข 1, 2, 3,…)
      9. convert mbr ถ้า disk มีขนาดเกิน 2TB ให้ใช้คำสั่ง convert gpt แทน
      10. พิมพ์ clean แล้วกด enter
      11. พิมพ์ create partition primary แล้วกด enter
      12. พิมพ์ select partition 1 แล้วกด enter
      13. พิมพ์ format fs=ntfs quick แล้วกด enter
      14. พิมพ์ assign letter=Z แล้วกด enter
      15. พิมพ์ exit แล้วกด enter

      วิธีการอื่นๆ ที่อาจจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้

      1. ใช้โปรแกรมช่วยฟอร์แมต เช่น HP USB Disk Storage Format Tool.
      2. ถ้าเป็นพวก card ให้ลองใช้โปรแกรม SD Card Formatter
    Share:

    วันพุธที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2566

    5 อันดับงานสาย IT ที่กำลังเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานมากที่สุดในขณะนี้

     ปัจจุบันงานสายไอทีกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานมากขึ้น เนื่องจากภาพรวมโลกธุรกิจในปัจจุบันที่กำลังเปลี่ยนไป หลายองค์กรต่างนำระบบและเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในการทำงานมากขึ้น อีกทั้งยังมีเทคโนโลยีดิจิทัลที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดดมากมาย เช่น IoT (Internet of Things) Big Data หรือ AI ซึ่งการเข้ามามีบทบาทของเทคโนโลยีดิจิทัลที่มากขึ้นนั้นยังเป็นส่วนหนึ่งที่ส่งผลต่อพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภคที่องค์กรต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจอีกด้วย จึงทำให้ตลาดแรงงานด้านสายงานไอทีและเทคโนโลยีมีความโดดเด่นเป็นที่ต้องการ สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    JobThai จึงได้ทำการรวบรวมและวิเคราะห์ฐานข้อมูลงานสายไอทีที่อยู่ในเว็บไซต์ในช่วงต้นปี พบว่ามีองค์กรลงประกาศรับสมัครงานที่เกี่ยวข้องกับสาย IT ทั่วประเทศทั้งหมดเฉลี่ยอยู่ที่ 3,000-4,000 อัตราต่อเดือน วันนี้ JobThai จึงได้นำ 5 ประเภทงานด้านไอทีที่เปิดรับสมัครมากที่สุดมาแนะนำกันค่ะ

    อันดับที่ 1 : Programmer

    จำนวนงานโดยประมาณ : 1,238 อัตรา คิดเป็น 36% ของงาน IT ทั้งหมด

    งานที่มีอัตราเปิดรับมากที่สุดในสายงานไอที ก็คงจะหนีไม่พ้น “โปรแกรมเมอร์” หนึ่งในเบื้องหลังคนสำคัญที่เป็นคนที่คอยพัฒนาและสร้างสรรค์โปรแกรมและแอปพลิเคชัน ให้เป็นไปตามที่องค์กรหรือลูกค้าต้องการ  รวมไปถึงยังเป็นคนที่มีหน้าที่ในการดูแลและตรวจสอบระบบฐานข้อมูลอีกด้วยนะคะ

    ตำแหน่งงานน่าสนใจ

    Programmer SQL [Gosoft (Thailand) Co., Ltd.]

    Mobile Application Programmer [บริษัท ศุภาลัยจำกัด (มหาชน)]
     

    ดูงาน Programmer ทั้งหมดได้ ที่นี่

     

    ______________________________________________

     

    อันดับที่ 2 : IT Administrator

    จำนวนงานโดยประมาณ : 464 อัตรา คิดเป็น 13.8% ของงาน IT ทั้งหมด

    ปัจจุบันทุกองค์กรล้วนต้องใช้คอมพิวเตอร์ในการทำงาน ซึ่งในแต่ละองค์กรก็จะมีระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่แตกต่างกันไป ตามขนาดและประเภทของธุรกิจ ทำให้อัตราการจ้างงานด้าน IT Administrator หรือ งานดูแลระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพิ่มมากขึ้น ซึ่งผู้ที่ทำงานในตำแหน่งเหล่านี้จะต้องมีความรู้ ความชำนาญในเรื่องของการประกอบ ติดตั้ง ลงโปรแกรมคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง ซ่อมแซม บำรุงรักษาอุปกรณ์ทั้ง ซอฟต์แวร์ และฮาร์ดแวร์ รวมถึงระบบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ และสามารถแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับระบบคอมพิวเตอร์ขององค์กรได้

    ตำแหน่งงานน่าสนใจ

    IT Broadcast Support [ไทยรัฐ]

    เจ้าหน้าที่ระบบงานคอมพิวเตอร์ [Syntec Construction Public Co., Ltd.]
     

    ดูงาน IT Administrator ทั้งหมดได้ ที่นี่

     

    ______________________________________________

     

    อันดับที่ 3 : Technical Support

    จำนวนงานโดยประมาณ : 451 อัตรา คิดเป็น 13.4% ของงาน IT ทั้งหมด

    เมื่อลูกค้าเกิดปัญหาหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้งานสารสนเทศ ซอฟต์แวร์ หรือผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ คนที่คอยดูแล แนะนำ ให้ข้อมูล ให้คำปรึกษา และรวมไปถึงแก้ไขปัญหาในการใช้งานต่าง ๆ ในผลิตภัณฑ์หรือบริการเหล่านั้นก็คือคนที่ดูแลด้านเทคนิค หรือ Technical Support นั่นเองค่ะ

    ตำแหน่งงานน่าสนใจ

    เจ้าหน้าที่สนับสนุนด้านเทคนิค (Technical Support) [101 GLOBAL Co., Ltd.]

    พนักงาน Helpdesk [บริษัท ทีโอที เอาท์ซอร์สซิ่ง เซอร์วิส จำกัด]

     

    ดูงาน Technical Support ทั้งหมดได้ ที่นี่

     

    ______________________________________________

     

    อันดับที่ 4 : Web Programmer

    จำนวนงานโดยประมาณ : 243 อัตรา คิดเป็น 7.2% ของงาน IT ทั้งหมด

    ทุกวันนี้ไม่ว่าธุรกิจไหน ๆ ก็ล้วนต้องมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองทั้งนั้นนะคะ อีกทั้งคนทั่วไปก็เข้าใช้งานกันอยู่แทบทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นการหาข้อมูลความรู้ หาความบันเทิง หรือซื้อขายสินค้า ซึ่งเว็บไซต์ก็คงจะไม่สามารถออกมาเป็นรูปเป็นร่าง และใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพหากขาด Web Programmer เพราะเป็นคนที่มีส่วนทั้งในการออกแบบ พัฒนา และเขียนเว็บไซต์ รวมถึงการบริหารจัดการข้อมูลต่าง ๆ บนเว็บไซต์ด้วย

    ตำแหน่งงานน่าสนใจ

    เจ้าหน้าที่วิจัยและพัฒนาโปรแกรม / Web Programmer (PHP or JavaScript Skills) [บริษัท ดี.ที.ซี. เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด]

    Web Programmer ภาษา (PHP) [บริษัท ชัยโจ เดนกิ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด]

     

    ดูงาน Web Programmer ทั้งหมดได้ ที่นี่

     

    ______________________________________________

     

    อันดับที่ 5 : Digital Marketing

    จำนวนงานโดยประมาณ : 203 อัตรา คิดเป็น 6.2% ของงาน IT ทั้งหมด

    เดี๋ยวนี้องค์กรต่าง ๆ หันมาใช้ช่องทางออนไลน์ในการทำการตลาดกันมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เช่น เว็บไซต์ เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ อินสตาแกรม และ ยูทูป เพราะสามารถเข้าถึงคนได้ง่าย สะดวก รวดเร็วและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนในยุคนี้ ทำให้คนที่ทำงานในสาย Digital Marketing เป็นอีกหนึ่งสายงานที่เป็นที่ต้องการอยู่ไม่น้อยเลยค่ะ  

    ตำแหน่งงานน่าสนใจ

    Digital Marketing Specialist [บริษัท ยูเนียนเมดดิคอล (ประเทศไทย) จำกัด]

    Influencer Digital Marketing [บริษัท นิภา เทคโนโลยี จำกัด]

     

    ดูงาน Digital Marketing ทั้งหมดได้ ที่นี่

     

    ______________________________________________

     

    ถ้ายังไม่เจองานที่ใช่

    ดูตำแหน่งงานสาย IT ทั้งหมดได้ ที่นี่

     

    เคล็ดลับเพิ่มโอกาสให้คุณได้งาน

     

     

    *หมายเหตุ : ตำแหน่งงานอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามระยะเวลาประกาศของบริษัท

    Share:

    Blog Archive

    Total Pageviews

    Facebook FANPAGE